…บางทีอาจไม่ใช่แค่คำตอบที่ล่องลอยอยู่ในสายลมแบบที่เพลงของบ็อบ ดีแล่นว่าไว้

มนุษย์โหดเหี้ยมต่อกัน ร้ายต่อกันแค่ไหน พยายามปกปิด บิดเบือนประวัติศาสตร์เพียงใด สุดท้ายก็ยังมีธรรมชาติร่วมรู้เห็นเป็นประจักษ์พยาน

ขวามือไกล ๆ ในภาพ คือ ห้องรมแก๊ส ซ้ายมือ ด้านหน้าคือส่วนหนึ่งของเตาเผา เมื่อรถไฟมาถึงเอาช์วิตช์ ผู้โดยสารทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ จะโดนกวาดต้อนลงมาตั้งแถวที่ชานชาลา และถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มทันที นั่นคือ

กลุ่มที่ 1 เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี คนแก่ คนพิการผู้ป่วย หญิงที่อุ้มทารก หรือมีเด็กเล็กในความดูแล

กลุ่มที่ 2 หญิงและชายที่ร่างกายแข็งแรงจะต้องเดินผ่านการตรวจอย่างคร่าว ๆ โดยแพทย์ เขาจะพิจารณาอย่างเร็วแล้วทำสัญญาณนิ้วมือให้แยกเป็นซ้ายและขวา ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นจะได้เข้าไปอยู่ต่อในค่าย ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก จะต้องเดินทางต่อร่วมกับ กลุ่มที่ 1 ปลายทาง คือ เบร์เคนาว ซึ่งเป็นจุดจอดรถสุดท้าย พวกเขาถูกทำให้เชื่อว่าจะมีที่พัก ที่หลบภัย ทุกคนจะได้อาบน้ำอาบท่า ก่อนถูกพาเข้าห้องรมแก๊ส และวันต่อมาจะถูกลำเลียงศพไปเผาเพื่อกำจัดซากและเถ้าถ่านทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวราว ๆ 1.5 ล้านคนที่นี่ และรวมที่อื่นๆ อีกนับเป็นจำนวน 6 ล้านกว่าคน ไม่ใช่แค่ความโหดเหี้ยม หรือความบ้าอำนาจของผู้นำคนเดียว แต่คือการใช้โฆษณาชวนเชื่อ การล่อหลอกให้สัญญาเท็จ การให้การศึกษาฝังหัว เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่วางแผนอย่างเป็นระบบล่วงหน้า ผู้ที่ตกเป็นเชลยไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะถูกนำพาไปสู่ความตาย จึงไม่มีการลุกขึ้นสู้ ต่อต้านขัดขืน ที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความกลัวให้แก่ผู้คน หากไม่ปฏิบัติตาม ก็ต้องถูกกำจัดด้วย แม้จะไม่ใช่ชาวยิว

…………………………………….

จนถึงวันนี้ กลางทุ่งโล่ง ลมพัดแรง อุณหภูมิเฉียด ๆ ศูนย์องศา ผู้คนนับพันหมื่น วันแล้ววันเล่ายังคงมุ่งหน้ามาที่นี่ เพื่อมาดูให้เห็นกับตา ได้ยินกับหู และนำพามวลความรู้สึกเหล่านั้นกลับไปบอกเล่าส่งต่อแก่ผู้คน

ดาวน์โหลด pdf

 ผ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ คอกาแฟผู้สนใจในภาพยนตร์ วรรณกรรม และวัฒนธรรมญี่ปุ่น นอกเหนือจากบทบาทนักการศึกษาและคนทำงานภาคสังคมแล้ว ยังเป็นนักแสดงอิสระในแวดวงละครเวที มีผลงานร่วมกับพระจันทร์เสี้ยวการละครและกลุ่มละครอื่น ๆ